เมื่อมหกรรมกีฬาแห่งชาติครั้งที่ 49 หรือ "จันท์เกมส์" ปิดฉากลงอย่างยิ่งใหญ่ในจังหวัดจันทบุรี เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 ด้วยพิธีปิดที่เต็มไปด้วยการแสดงแสงสีเสียงอันตระการตา การแข่งขันได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่วงการกีฬาไทย และเปิดทางสู่การแข่งขันครั้งต่อไปที่จังหวัดอุดรธานี

การเตรียมตัวของจังหวัดอุดรธานีเพื่อสืบทอดความสำเร็จ

หลังจากเสร็จสิ้นพิธีปิดการแข่งขัน "จันท์เกมส์" ณ สนามกีฬากลางจังหวัดจันทบุรี ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี นายราชันย์ ซุ้นหั้ว ได้รับมอบธงการแข่งขันจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อนำไปสู่การแข่งขันกีฬาแห่งชาติครั้งที่ 50 หรือ "อุดรธานีเกมส์" ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-29 ธันวาคม 2569

นายราชันย์ เผยว่า จังหวัดอุดรธานีได้เตรียมตัวมาอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การปรับปรุงถนนหนทางและสถานที่สาธารณะ เพื่อให้สามารถรองรับนักกีฬาและผู้เข้าชมกว่า 77 จังหวัดทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีแผนในการพัฒนาเมืองให้เป็น "เซฟตี้ ซิตี้" รวมถึงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับผู้พิการ เช่น การปรับปรุงทางเท้าและห้องน้ำสาธารณะ

นอกจากนี้ ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ยังเผยว่า อุดรธานีได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการจัดการแข่งขันที่มีมาตรฐานสูง ทั้งด้านการพัฒนากีฬาและการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ กกท. ในการใช้การแข่งขันกีฬาแห่งชาติเป็นเวทีสำคัญในการพัฒนานักกีฬาและสร้างสรรค์ภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศ

การแข่งขันครั้งนี้ยังมีการสนับสนุนจากภาคเอกชนและภาครัฐ โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมในการจัดการแข่งขันภายใต้ BCG Model ซึ่งเป็นโมเดลเศรษฐกิจที่เน้นการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวและกีฬา

มุมมองจากผู้สื่อข่าว: อนาคตของวงการกีฬาไทยกำลังสดใส

การเตรียมความพร้อมของจังหวัดอุดรธานีในการจัดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติครั้งที่ 50 สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในวงการกีฬาไทย ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างความปลอดภัยในเมือง และการสนับสนุนจากภาคเอกชน ทั้งหมดนี้ไม่เพียงแต่ทำให้การแข่งขันประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่จังหวัดและประเทศ

การแข่งขันกีฬาแห่งชาติไม่ได้เป็นเพียงเวทีแข่งขันระหว่างนักกีฬาเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญในการเชื่อมโยงคนทั่วประเทศให้มาพบปะแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและประสบการณ์ร่วมกัน ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้แก่สังคมไทยในระยะยาว