ปี 2567 เป็นปีที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์สำคัญในวงการกีฬาไทย มีทั้งความสำเร็จและความผิดหวัง โดยเฉพาะในโอลิมปิกเกมส์และพาราลิมปิกเกมส์ นักกีฬาไทยได้รับรางวัลมากมาย นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงในองค์กรกีฬาและการแข่งขันใหม่ๆ ที่ทำให้วงการกีฬาไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ในบทความนี้เราจะสำรวจสองประเด็นหลักที่โดดเด่นที่สุดในปีที่ผ่านมา
นักกีฬาไทยได้สร้างชื่อเสียงในเวทีโลกด้วยการคว้าเหรียญรางวัลในโอลิมปิกเกมส์และพาราลิมปิกเกมส์ ซึ่งเป็นการแสดงความสามารถของนักกีฬาไทยในระดับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นเทควันโด แบดมินตัน และยกน้ำหนัก รวมถึงการคว้าเหรียญทองในพาราลิมปิกจากหลากหลายประเภทกีฬา
ทัพนักกีฬาไทยประสบความสำเร็จอย่างมากในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่ปารีส โดยคว้าเหรียญรางวัลรวม 1 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง แสดงให้เห็นถึงความสามารถของนักกีฬาไทยในการแข่งขันระดับโลก พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ กลายเป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่ได้เหรียญทองโอลิมปิก 2 สมัยติดต่อกัน ขณะที่กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ก็ทำให้แบดมินตันไทยได้เหรียญรางวัลครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ส่วนในพาราลิมปิก นักกีฬาไทยสามารถคว้าเหรียญทอง 6 เหรียญ ทำให้จบอันดับที่ 21 ของโลก สายสุนีย์ จ๊ะนะ กลายเป็นนักฟันดาบหญิงคนแรกของโลกที่ได้ 3 เหรียญในพาราลิมปิก 1 ครั้ง
นอกจากความสำเร็จแล้ว ปี 2567 ยังมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในองค์กรกีฬาไทย เช่น การเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยและการยกเลิกการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนอินดอร์และมาร์เชียลอาร์ตเกมส์ รวมถึงการประกาศของสมเกียรติ จันทรา ที่จะเข้าแข่งขันโมโตจีพี
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในวงการฟุตบอลไทยเกิดขึ้นเมื่อ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ชนะการเลือกตั้งเป็นนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย แต่การบริหารงานของเธอก็มีทั้งคำชมและคำวิจารณ์ ขณะเดียวกัน การยกเลิกการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนอินดอร์และมาร์เชียลอาร์ตเกมส์ ก็ทำให้นักกีฬาไทยเสียโอกาสในการแข่งขัน ซึ่งใช้งบประมาณไปกว่า 980 ล้านบาท นอกจากนี้ สมเกียรติ จันทรา ยังได้รับโอกาสลงแข่งขันในโมโตจีพี ฤดูกาล 2025 ซึ่งเป็นนักบิดไทยคนแรกที่จะได้แข่งขันในระดับนี้ ส่วนรถถัง จิตรเมืองนนท์ ก็ต้องเสียแชมป์โลกเนื่องจากการตกตาชั่งในหลายครั้ง ทำให้เขาต้องเผชิญกับเสียงวิจารณ์อย่างหนัก